วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556



 ยูนิคอร์น
      
               คำว่า unicorn นั้นมาจากภาษาละตินดังนี้ unus = หนึ่ง และ cornu = เขา เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า unicorn หรือ ”สัตว์ที่มีเขาเดียว”

     ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นเเรกเกิดมีขนสีทอง เเละจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด เเละขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง

     โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องเเวะกับมนุษย์ เเละจะยอมให้เเม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้ จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกับเป็นม้าธรรมดา แต่ในประเทศจีนยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รักสงบ




     การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู  

 



ลักษณะโดยทั่วไปของยูนิคอร์น

     ยูนิคอร์นมีลักษณะลำตัวเป็นม้าที่มีเขาแหลมงอกอยู่บนหัว (บริเวณหน้าผาก) 1 อัน ซึ่งจะไม่มีปีก (ถ้ามีปีกจะไม่มีเขาเรียกว่าเพกาซัส ซึ่งเชื่อกันว่าเพกาซัสเกิดจากหยดเลือด ของนางอสูรเมดูซ่าตอนที่เพอร์ซิอุสตัดคอนางออกมา) ซึ่งขาหลังของยูนิคอร์นจะ มีลักษณะคล้ายกับขาของแอนติลอป (เป็นตระกูลเดียวกับเก้งหรือกวางในแถบแอฟริกา) ลำตัวสีขาวบริสุทธิ และมีหางคล้ายหางของสิงโต ดวงตามีสีฟ้าใส หรือสีม่วง เข้ม กีบเป็นสีเดียวกับดวงตาและว่ากันว่าไม่มีใครเคยเห็นรอยเท้าของยูนิคอร์นแม้แต่ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน (วิชาตัวเบาลำเลิศ) เนื่องจากตัวของมันมีน้ำหนักเบามาก ที่อยู่ของยูนิคอร์นมักจะอาศัยอยู่ในป่า ที่มีความเงียบสงบ ห่างไกลจากมนุษย์และปีศาจ

     ยูนิคอร์นมีอายุยืนหลายร้อยปีทีเดียว และเชื่อกันว่าไม่มีปีศาจตัวใดที่จะ สามารถสัมผัสตัวของยูนิคอร์นได้เลย มีตำนานเล่าว่าชาวเผ่าเอลฟ์ถือว่ายูนิ คอร์นเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพฟัวรอส (Foiros) เทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งมีความหมายถึงความสง่างามและความบริสุทธิของดวงอาทิตย์


ความสามารถของยูนิคอร์น


     ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่ฉลาดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัตว์ของเทพเจ้า ยูนิคอร์นที่ มีอายุมากและฉลาดที่สุดมีความสามารถในการส่งคลื่นโทรจิต (สื่อสารกันทางใจ) และอีกทั้งยังสามารถอ่านความคิดในใจและความรู้สึกจากคน ที่มันอยากจะรู้ ส่วนยูนิคอร์นเด็กจะทำได้แค่รับรู้ความรู้สึกหรืออารมณ์ของ คนที่อยู่รอบตัวมัน และพลังวิเศษของยูนิคอร์นจะอยู่ที่เขาของมัน ยูนิคอร์นสามารถใช้เขาตัวเองรักษาคนเจ็บได้

     ในตำนานหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องของเลือดของยูนิคอร์นว่า เมื่อใดที่ เลือดของยูนิคอร์นต้องหลั่งริน จอมปีศาจร้ายจะอุบัติขึ้นในโลกใบนี้ และถ้า เลือดแต่ละหยดของยูนิคอร์นสัมผัสผืนแผ่นดินจะนำความตายไปสู่ทุกสิ่งที่อย่าง ที่ถูกเลือดของยูนิคอร์น ไม่ว่าจะเป็นมด ต้นหญ้า หรือแม้แต่คน


อุปนิสัยของยูนิคอร์น


     ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่สุภาพ เชื่อง โดยทั่วไปอยู่เป็นกลุ่ม 4 หรือ 5 ตัว ซึ่งใน 1 ฝูงจะมียูนิคอร์นที่มีอายุมากที่สุดอยู่ 1 ตัว (ตัวที่แก่ที่สุดอาจจะมีอายุหลายร้อยปีเลยก็ได้) แล้วก็อยู่กันเป็นคู่ๆ ถ้า ยูนิคอร์นฝูงหนึ่งมาเจอกันกับอีกฝูงหนึ่งมันก็จะทักทายและเป็นมิตรต่อกันจนกว่าจะแยกย้ายกันไป จากคำบรรยายลักษณะทั่วไปของยูนิคอร์นจากบทประพันธ์ The Unicorn and the lake ของ Marianna Mayer ได้บรรยายเอาไว้ว่า “ยูนิคอร์นเป็นสัตว์วิเศษเพียงอย่างเดียวที่มนุษย์ไม่กลัว ซึ่งว่ากันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่พยศแต่ไม่ดุร้าย ชอบความเป็นส่วนตัวแต่ไม่สันโดษ แต่ที่ โดดเด่นคือความงามอันน่าพิศวง พวกคนเห็นแก่ได้มักจะชอบล่ายูนิคอร์น ด้วยเหตุที่ว่าเขาของยูนิคอร์นนั้นมีฤทธิ์ในการถอนพิษได้ทุกชนิด”


ตำนานการไล่ล่ายูนิคอร์นตามตำนานเก่าแก่ของยุโรป


     ยูนิคอร์ในเทพนิยายโบราณของยุโรปมีลักษณะคล้ายกับแพะ มีเท้าเป็นกีบ มีหาง เป็นสิงโต และเขาที่มีลักษณะเป็นเกลียวตรงหน้าผาก ซึ่งเขาของยูนิคอร์นเชื่อ กันว่าเป็นตัวยาชั้นดี ซึ่งขุนนางและผู้มั่งมีทั้งหลายต่างเสาะหามาไว้ใน ครอบครอง

     ในตำนานเก่าแก่ของยุโรปกล่าวว่ามีเพียงหญิงพรหมจรรย์เท่านั้นที่จะสยบยูนิ คอร์นได้ (ถ้าคนทั่วไปคิดจะจับล่ะก็อย่าหวัง เพราะยูนิคอร์นเคลื่อนไหวคล่อง แคล่วและรวดเร็วเหมือนสายลมพัด) มีตำนานเล่าว่า ขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ในป่า ก็มียูนิคอร์นตัวหนึ่งเข้ามา ใกล้ๆ ตัวหล่อนด้วยอาการที่แสนเชื่อง แล้วมันก็ซบหัวลงหนุนนอนบนตักของเธอราวกับ เด็กๆ ที่ไร้เดียงสา (ม้าอะไรไม่รู้ขี้หลีชะมัด) และนี่ก็ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ของยูนิคอร์นเลยก็ว่าได้ ซึ่งนำไปสู่ตำนานการไล่ล่ายูคอร์น แล้วสาเหตุของ การล่ายูนิคอร์นก็มาจากเขาที่เป็นตัวยาที่มีสรรพคุณอันแสนวิเศษและถอนพิษได้ ชะงัดนัก ดังนั้นเขาของมันจึงกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งผู้ที่อยาก ได้มาครอบครอบตลอดจนถึงผู้ที่มีความละโมบทั้งหลาย ว่ากันว่า ผู้คนที่มีใจ ละโมบได้ใช้หญิงสาวพรหมจรรย์เป็นกับดักล่อยูนิคอร์น ซึ่งป่าที่อยู่นิคอร์นอาศัยอยู่นั้นเรียกว่า “ป่าแห่งกษัตริย์” ยูนิคอร์นซึ่งรับรู้ได้ว่าเธอคนนั้นเป็นสาวพรหมจรรย์ (ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงนะว่าบริสุทธิไม่บริสุทธิ เก่งจริงๆ ถ้ายูนิคอร์นมา เจอสาวยุคนี้ มีหวังเผ่นกระเจิง อิอิ) ก็เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีที่แสนเชื่องแล้วมันก็เอาหัวนอนหนุนตักเจ้าหล่อน เช่นเคย แล้วจังหวะนี้เองที่พวกคนล่าเขายูนิคอร์นก็เข้ามาตัดเขาของมัน ไป จากนั้นยูนิคอร์นก็ต้องจบชีวิตลง เพราะถ้าไม่มีเขามันก็จะตาย (ตายเพราะ ความขี้หลี)



     ส่วนยูนิคอร์นในนิยายแฟนตาซีสมัยใหม่จะมีลักษณะเป็นม้าที่สง่างาม ซึ่งจะเชื่อฟังสาวพรหมจรรย์เท่านั้น สีของมันมีหลายหลากสีต่างกันไป ตั้งแต่สีงาช้างบริสุทธิหรือสีดำขลับ  สีเงิน สีทอง สีน้ำตาล รวมไปถึงสีจำพวก ม่วง น้ำเงิน ฟ้า เขียว เหลือง แสด แดง   บ้างก็ว่ามันจะเปลี่ยนสีของตัวมันเองได้ขึ้นอยู่กับว่ามันอยู่ในอารมณ์แบบ ไหน แล้วถ้ายูนิคอร์นที่มีปีกแบบเพกาซัสก็จะเรียกว่า "อัลลิคอร์น" (Alicorn)



     ตามตำนาน หญิงพรหมจารีสามารถทำให้ยูนิคอร์นเชื่องได้ เมื่อยูนิคอร์นเห็นหญิงพรหมจารีจะเข้าไปใกล้แล้วซบตัก จึงเป็นการง่ายที่จะถูกจับหรือถูกฆ่าโดยนายพรานที่ซุ่มอยู่
      ศัตรูของยูนิคอร์นคือสิงโต ในนิทานของยุคกลางเล่าว่า ยูนิคอร์นจะปราบศัตรูของมันโดยวิธีต่อไปนี้ สิงโตจะวิ่งไปที่ต้นไม้ ล่อยูนิคอร์นเพื่อที่จะพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่ยูนิคอร์นเข้าไปใกล้สิงโตจะเดินเลี่ยงไป และยูนิคอร์นจะพุ่งเข้าไปยังต้นไม้ ซึ่งอัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นสิงโตจะตบลงบนศัตรูที่ทำอะไรไม่ได้ของมัน


      เขายูนิคอร์นมีประโยชน์ที่วิเศษอย่างมาก ภาชนะที่ทำจากเขายูนิคอร์น สามารถต่อต้านและแก้พิษในอาหารได้ มีข้อความกล่าวไว้ว่า ถ้วยที่ทำจากเขายูนิคอร์นสามารถป้องกัน อาการสั่น , โรคลมบ้าหมู และพิษได้ ถ้าดื่มน้ำหรือของเหลวที่ใส่ในถ้วยนั้น และมีอีกข้อความหนึ่งกล่าวว่า " มันเป็นความเชื่อที่ว่าถ้ามันหลั่งน้ำออกมา อาหารหรือเครื่องดื่มในภาชนะนั้นเป็นพิษ " นอกจากนี้ผงตะไบจากเขาของมัน สามารถใช้ทำยาต่อต้านยาพิษร้ายแรงได้ และเมื่อนำมาทำเป็นเครื่องอัญมณีจะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้าย


   ตำนานอื่นเล่าว่าในการต่อสู้ของยูนิคอร์นกับช้าง สุดท้ายช้างจะถูกเขายูนิคอร์นแทงถึงแก่ความตาย 
     ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้ว เขายูนิคอร์นมีค่ามากกว่าทองคำ ดังนั้น พระราชา , จักรพรรดิ และพระสันตปาปา เป็นคนในกลุ่มไม่กี่คนที่สามารถสนองความต้องการราคาที่สูงนี้ได้ พวกเขาอยากได้เขาที่มีค่านี้มาเพื่อรับรองว่าจะมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดี การขายที่ได้กำไรงามนี้ ขายเขายูนิคอร์นเทียมอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำจากเขาวัว , เขาแพะ หรือในบางกรณีจากสัตว์ต่างประเทศ กระดูกสุนัขธรรมดา หรืองาของปลาวาฬชนิดหนึ่งชื่อว่า narwhal**(ดูข้อมูลด้านล่่างนะครับ) 
เพกาซัส 
      
     เพกาซัส (Pegasus) มีลักษณะเป็นม้าที่ลำตัวสีขาวสะอาด มีปีกขนาดใหญ่เหมือนนกสีขาว แต่ก็มีบางทีก็มีคนวาดให้ปีกของเพกาซัสเป็นสีทอง เพกาซัสเป็นม้าที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง เป็นเครื่องหมายแห่งความบริสุทธิ์ ความสว่าง พลังแห่งดวงอาทิตย์ และแน่นนอนว่าเป็นพาหนะของพวกพระเอกเท่านั้น!…
…. นอกจากนี้ความหมายของชื่อเพกาซัสยังมีความหมายว่า ‘springs of ocean’ ซึ่งแปลว่าผู้เกิดมาจากน้ำ (ภาษาไทยก็มีนะ แต่เป็นผู้หญิงอ่ะ หากใครรู้จักตำนานการกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำทิพย์จะรู้ว่ามีสิ่งวิเศษที่ผุดออกมาจากฟองคลื่น หนึ่งในนั้นคือพระลักษมีซึ่งต่อมากลายเป็นพระชายาของพระนารายณ์ และนอกจากนั้นก็มีมีพวกนางอัปสรทั้งหลายผุดขึ้นมาจากน้ำอีกด้วย เพราะฉะนั้น คำว่า “อัปสร” “อัปสรา” และ “อัจฉรา” ที่หมายถึงนางฟ้า จึงมีความหมายดั้งเดิม คือ “ผู้ที่เกิดมาจากน้ำ” เหมือนกัน) ความสามารถของเพกาซัสคือ ความไว การสร้างน้ำพุ และยังแข็งแรงขนาดที่ฝ่าพายุขนาดบินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสบายๆ
ตำนานการเกิดของเพกาซัสมีอยู่หลายตำนาน แต่ที่เป็นหลักๆ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ
….1. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเป็นบุตรของเทพโพเซดอน (Poseidon) กับนางเมดูซ่า (Medusa) ซึ่งในขณะที่โพเซดอนลอบเข้าหานางเมดูซ่าได้แปลงกายอยู่ในลักษณะของม้า จึงทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นม้าด้วย! (โอ้! แม่เจ้า คนกะม้า ! ความพยายามล้ำเลิศจริงๆ )
….2. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเกิดจากหยดเลือดของนางเมดูซ่าขณะที่เพอซุส (Perseus) [จะอ่านว่า เพอซุส หรือ เพอซิอุสก็ได้ ตามความถนัด) ตัดหัวนางออกมา
….เอาล่ะ เรามาเริ่มที่ตำนานแรกกันเลย มีเรื่องเล่าว่าโพเซดอนซึ่งเป็นเจ้าแห่งท้องสมุทร หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเนปจูน (Neptune) เกิดไปหลงรักสาวน้อยนางหนึ่งที่ชื่อว่า เมดูซ่า โดยเมดูซ่าเป็นบุตรของเทพฟอร์ซีส (Phorcys) กับ นางซีโต(Ceto) และเป็น 1 ใน 3 พี่น้องกอร์กอน (Gorgons) โดยเมดูซ่ามีรูปโฉมที่งดงามมาก จนโพเซดอนอดใจไม่ไหวแอบแปลงเป็นม้าเข้ามากุ๊กกิ๊กกับเมดูซ่าในบริเวณวิหารของเทพีเอเธน่านั่นแหละ ซึ่งถือเป็นการหลบหลู่กันอย่างแรง เพราะสมญานามของพระนางนอกจากจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว ก็ยังครองตำแหน่งเทพีแห่งพรหมจรรย์อีกด้วย จะไม่ให้โกรธได้อย่างไรเมื่อเล่นหยามหน้ากันเข้ามากุ๊กกิ๊กกันในวิหารศักดิ์สิทธ์ของพระนาง แถมไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นลุงแท้ๆ ของตัวเองซะอีก
….เมื่อเอาผิดกับลุงของตัวเองไม่ได้ เทพีเอเธน่าจึงหันมาเล่นงานเมดูซ่าแทน (คงถือคติตบมือข้างเดียวไม่ดัง ประมาณว่าถ้าเมดูซ่าไม่สมยอมเรื่องก็คงไม่เกิด) เมดูซ่าจึงรับกรรมไปคนเดียวเต็มๆ พระนางสาปให้เมดูซ่าที่เคยเป็นสาวงามกลายเป็นอสูรกายหน้าตาอัปลักษณ์ เส้นผมสีดำที่เคยเป็นเกลียวสวยงามก็กลายเป็นงูเต็มหัวไปหมด และเมื่อนางมองสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นหินไป จากหญิงสาวธรรมดาก็กลายเป็นปิศาจร้ายที่มีจิตอันชั่วร้าย จากนั้น ก็ส่งตัวเมดูซ่าไปอยู่เกาะกอร์กอน (Gorgons) เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย
….เมื่อเวลาผ่านไป เพอซุส (Perseus) ซึ่งเป็นบุตรของเทพซุส (Zeus) กับนางดาเน่ (Danae) ถูกมอบหมายงานมาให้ตัดศรีษะของนางเมดูซ่าโดยกษัตริย์ โพลีเดคทีส (Polydectes) แห่งแคว้นเซริฟอส (Seriphos) ซึ่งเคยให้ที่พักพิงแก่เพอซุสและเจ้าหญิงดาเน่ผู้เป็นมารดาขณะลอยแพมาติดเกาะที่เมืองนี้ ก็เกิดมีใจคิดจะครอบครองเจ้าหญิงดาเน่ จึงคิดจะกำจัดเพอซุสที่เป็นก้างชิ้นใหญ่นี่ไปซะ ก็เลยออกอุบายให้เพอซุสไปตัดหัวเมดูซ่ามาซะเพราะกษัตริย์โพลีเดคทีสคิดว่ายังไงซะเพอซุสก็คงตายด้วยฝีมือของเมดูซ่าอย่างแน่นอน
….จากนั้นเพอซุสก็ได้ออกตามหาเมดูซ่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากเทพีเอเธน่า ทั้งคำบอกใบ้ไปเกาะกอร์กอน แถมให้ยืมโล่ห์ของพระนางอีกด้วย (แสดงว่าแค้นนี้ยังฝังใจ) แล้วก็ยังมีดาบที่เทพแห่งการสื่อสารเมอร์คิวรีที่ได้มอบไว้ให้ ซึ่งดาบนี้เป็นดาบวิเศษที่ไม่มีวันหักเป็นของแถมให้อีกต่างหาก แล้วในที่สุดเพอซุสก็ได้พบกับเมดูซ่าจนได้ เพอซุสได้ใช้โล่ห์ที่เอเธน่ามอบให้เพื่อป้องกันตัว และใช้วิธีเหลือบมองเงาของนางเมดูซ่าผ่านโล่ห์วิเศษ
…. และในที่สุดเพอซุสก็ตัดหัวเมดูซ่าได้สำเร็จ เลือดของเมดูซ่าที่หยดต้องน้ำของมหาสมุทรก็บังเกิดกลายเป็นม้าวิเศษขึ้นมาทันที ซึ่งม้าตัวนี้ได้รับการพรรณนาว่าเป็นสัตว์วิเศษที่มีความสวยงามอย่างที่โลกไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน จากนั้นเพกาซัสก็บินรับเพอซุสไปส่งขึ้นฝั่ง แล้วเพกาซัสก็บินตรงไปที่เขาเฮลิคอน (Helicon) ที่มีเทวีแห่งศิลป์ทั้ง 9 นาง หรือที่เรียกว่า Muses (มิวซิส) คอยให้การดูแลเพกาซัสต่อมา พูดง่ายๆ ก็คือเป็นพี่เลี้ยงนั่นเอง (ตรงนี้บางตำนานบอกว่าเทพีเอเธน่าเป็นผู้นำไปมอบให้เทวีแห่งศิลป์ที่เขาเฮลิคอนด้วยตัวเอง)
….จากนั้นเพอซุสก็ได้ปราบมังกรทะเลและช่วยเจ้าหญิงอันโดรเมด้า (Andromeda) แห่งเมืองเอธิโอเปีย ก็ได้ไปรับพระมารดาและพากันไปตั้งเมืองใหม่ที่ชื่อว่าไมซีเน่ (Mycenae) ส่วนหัวของนางเมดูซ่าเทพีเอเธน่าก็นำมาติดบนโล่ห์ประดับโก้ๆ ซะเลย
….แต่อีกตำนานก็บอกว่าเพกาซัสเกิดมาจากเลือดของเมดูซ่าอย่างเดียว โปเซดอนไม่มีเอี่ยว เรื่องนี้มีอยู่ว่าในบรรดาสามศรีพี่น้องกอร์กอน เมดูซ่าถึงจะไม่ได้เป็นอมตะเหมือนพี่สาวทั้งสอง แต่ก็มีความงามเป็นเลิศ และนางก็บังอาจท้าทายความงามของนางกับเทพีเอเธน่า จนทำให้พระนางโกรธจึงสาปให้เมดูซ่ามีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด มีเส้นผมเป็นงูอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว จากนั้นก็นำตัวสามศรีพี่น้องตัวแสบไปขังไว้ที่เกาะกอร์กอน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ลงท้ายเหมือนกัน
….กลับมาที่เรื่องของเพกาซัสต่อนะ หลังจากที่มาอยู่ที่เขาเฮลิคอนแล้วเพกาซัสก็ซุกซนเหมือนเด็กๆ ทั่วไป แต่มันต่างกันตรงที่เขาเป็นม้า แถมบินได้ เพกาซัสก็เลยชอบไปๆ มาๆ ระหว่างโลกมนุษย์และเขาโอลิมปัส (Olypus) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพทั้งหลายหรือเรียกง่ายๆ ว่าสรรค์นั่นแหละ บางทีก็ชอบบินท่องไปในมหาสมุทร กระโดดกระหยองกระแหยงไปตามเรื่อง
….ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งคณะเทวีแห่งศิลป์ได้ประกวดร้องเพลงกับ พีเอริซ (Pierises) ทำให้เขาเฮลิคอนพองตัว เทพโพเซดอนจึงให้เพกาซัสใช้กีบเท้าแทงเขาเฮลิคอนเพื่อที่จะทำให้เขากลับสู่สภาพเดิม จากนั้นมาจุดที่เพกาซัสใช้ขาแทงเขาเฮลิคอนก็หลายเป็นน้ำพุขึ้นมา เรียกว่า Hippocrene (ฮิปโปครีน) หรือ Horse Spring (น้ำพุอาชา) ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำพุนี้มีพลังวิเศษ หากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุนี้จะทำให้มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะขึ้นมาทันที
….หลังจากที่เพอซุสปราบเมดูซ่าไม่กี่ปี เทพีเอเธน่าก็ยกเพกาซัสให้กับเบลเลอโรฟอน (Bellerophon) โดยมอบบังเหี ยนสีทองให้อันหนึ่ง ซึ่งบังเหี ยนนี้มีความสามารถทำให้เพกาซัสเชื่องได้ แล้วเบลเลอโรฟอนก็ไปดักรอเพกาซัสที่น้ำพุ ในขณะที่เพกาซัสกำลังดื่มน้ำจากน้ำพุพีเรเนียน (Pyrenean spring) น้ำพุนี้ก็ made by เพกาซัสเหมือนเดิม คือใช้กีบเท้ากระทุ้งให้น้ำพุ่งขึ้นมา เมื่อเห็นจังหวะเหมาะเบลเลอโรฟอนก็กระโดดขึ้นหลังเพกาซัสปุ๊บ ครอบบังเหียนปั๊บ เพกาซัสก็เลยต้องกลายเป็นม้ามีเจ้าของไปโดยปริยาย
….หลังจากนั้นเพกาซัสและเบลเลอโรฟอนก็ไปปราบตัวคิเมร่ากัน (Chimaera) ซึ่งตัวคิเมร่านี่มีหัวเป็นสิงห์ ตัวเป็นแพะ และมีหางเป็นมังกร ซึ่งหลังจากนั้นทั้ง เบลเลอโรฟอนและเพกาซัสก็ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากันตลอด แต่ช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้กลับน่าเศร้านัก เมื่อการที่เขาทำศึกครั้งใดก็ชนะตลอดเพราะมีม้าวิเศษอย่างเพกาซัส ทำให้เขาผยองจนลืมตัว คิดจะขึ้นไปพบปะเทพบนสวรรค์โดยขี่หลังเพกาซัสมุ่งตรงไปยังเขาโอลิมปัส ทำให้ทวยเทพรู้สึกไม่พอใจ และแน่นอนว่าเทพซุส (Zeus) ก็ให้บทลงโทษที่แสนสาหัสกับความโอหังครั้งนี้อย่างสาสม เทพซุสปล่อยแมลงใส่เพกาซัส
….เมื่อเพกาซัสโดนเหล็กไนของแมลงนั้นก็เจ็บปวดจนเผลอสะบัดเบลเลอโรฟอนจนตกจากหลังของมัน ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตายไปแล้ว แต่ด้วยความเมตตาของเทพีเอเธน่าจึงแค่บันดาลให้พื้นดินตรงนั้นอ่อนนุ่ม จึงทำให้เบลเลอโรฟอนแค่ขาหักและตาบอดไป ชีวิตช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้จึงน่าอนาถนัก ต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดินเพื่อจะตามหาม้าวิเศษ ในที่สุดเขาก็ตายอย่างเดียวดาย
….ส่วนเพกาซัสก็กลายเป็นม้ารับใช้ของเหล่าเทพไป โดยเพกาซัสได้ไปที่เขาของเทพธิดาเอ-ออส (Eos) หรือ ออโรร่า (Aurora) ซึ่งเป็นเทพธิดาในการดูแลของเทพอพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์ เพื่อช่วยนางในการทำให้ตะวันตกดิน และก็ช่วยเทพอพอลโลในการทำให้พระอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้บางทีเพกาซัสก็รับใช้เทพซุสด้วย โดยจะเป็นผู้นำสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเทพซุสมาส่งให้เมื่อองค์มหาเทพต้องการ
….หลังจากนั้น เพกาซัสก็ได้รับการสถาปนาขึ้นบนท้องฟ้าให้กลายเป็นกลุ่มดาวเพกาซัส ซึ่งดาวกลุ่มนี้จะปรากฎขึ้นทางทิศใต้ในฤดูใบไม้ร่วง โดยเรียกดาวกลุ่มนี้ว่า “Square of Pegasus” หรือ สี่เหลี่ยมเพกาซัส ซึ่งกลุ่มดาวเพกาซัสนี้มีตำแหน่งอยู่ติดๆ กับกลุ่มดาวอันโดรเมด้าอีกด้วย

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เนื่องจากใกล้สอบไฟนอลแล้ว ประกาศดร็อป เอ้ย! ดองบล็อกอีกเช่นเคย เพราะฉะนั้นนี่คงเป็น entry ส่งท้ายก่อนปิดเทอมแล้วละครับ (เทียบกับคนอื่นที่เริ่มเขียนเกือบจะพร้อมกันแล้วทำไมเราเขียนไม่ค่อยบ่อยอย่างเขาเลยหว่า - -")
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เกี่ยวกับกริฟฟิน (หรือกรีฟอน) ที่ใครหลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้วนั้น คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณรู้จักมันจริงๆ? ถ้าคิดว่าแน่ลองมาตอบคำถามข้อนี้ของผมดู

แค่นี้แหละครับ ถามสั้นๆ ง่ายๆ.. แต่ตายเรียบถ้าคุณรู้คำตอบก็ยินดีด้วย แสดงว่าคุณคลั่งไคล้เรื่องแฟนตาซีเอาการเชียวล่ะ เพราะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่ากริฟฟินที่เราเห็นกันบ่อยๆ นั้นเป็นเพศเมียแทบทั้งสิ้น
ใช่แล้วครับ คำตอบคือเพศเมีย เพราะอะไรน่ะรึ? ก็เพราะกริฟฟินตัวผู้ไม่มีปีกน่ะสิ! ถ้าผมไปถามใครว่า "นายรู้ไหมว่ากริฟฟินมีลักษณะอย่างไร" คำตอบที่ได้ก็มักจะเป็นสัตว์ที่ "มีหัวและปีกเป็นอินทรี มีลำตัวเป็นสิงโต" ใช่มั้ยล่ะ? แต่ข้อเท็จจริงก็คือมีแต่กริฟฟินตัวเมียเท่านั้นที่มีปีก ส่วนตัวผู้บริเวณที่เป็นปีกจะเป็นหนามแหลมแทนครับ ลักษณะทางกายภาพเด่นๆ บางอย่างของกริฟฟินที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันนักก็คือการที่มันมีหูอย่างม้าหรือลา และในบางครั้งก็มีหางเป็นงูด้วย (ภาพข้างต้นกริฟฟินมีหูแบบลา แต่ไม่มีหางเป็นงู) นอกจากนี้กริฟฟินยังมีอุปนิสัยบางประการคล้ายกับมังกร (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมังกร คลิ๊กที่นี่) เช่นชอบทองและอัญมณี ในบางครั้งก็ขโมยมาปกปักไว้เป็นของตัวเองเสียด้วย ด้วยเหตุนี้กริฟฟินจึงเป็นสัญลักษณ์ของการพิทักษ์รักษาสิ่งมีค่าต่างๆ
คนชอบคิดว่ากริฟฟินเป็นสัตว์จากตำนานเทพกรีก แต่ที่จริงแล้วเรื่องราวของกริฟฟินถูกเล่าขานกันในหลายชนชาติมากครับ เช่นในอียิปต์ หรือยูเครน และคาดว่าจะมีที่มาจากอินเดียเป็นที่แรก (แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้) กริฟฟินมักทำรังแบบเดียวกับนกอยู่ตามริมผาสูง แต่ไข่ของมันกลับไม่ได้ธรรมดาอย่างนกทั่วไป เพราะมันวางไข่เป็น "โมรา"ซึ่งเป็นอัญมณีชนิดหนึ่ง มีลักษณะหลากหลายทั้งในด้านสีและความทึบใสต่างๆ (มีทั้งแดง เขียวอ่อน ฟ้า เทา ขาว ส้ม ฯลฯ) ชาวอียิปต์สมัยก่อนถือเป็นเครื่องลางชนิดหนึ่ง กริฟฟินมีอุปนิสัยประหลาดๆ คือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของม้า (ถึงแม้ว่าศักยภาพของมันจริงๆ แล้วจะต่อกรกับมังกรไหวทีเดียว มันก็ยังเป็นคู่ปรับของม้า) อย่างไรก็ตามถ้ากริฟฟินผสมพันธุ์กับม้า เราจะเรียกลูกของมันว่าฮิปโปกริฟ มีลักษณะเหมือนกริฟฟินทุกประการ ยกเว้นส่วนที่เป็นสิงโตจะเป็นแบบม้าแทนฮิปโปกริฟเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่เป็นไปไม่ได้

พักเรื่องฮิปโปกริฟแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะนอกเรื่องไปกันใหญ่ อย่างที่ว่าไปแล้วว่าตำนานกริฟฟินมีอยู่หลายชนชาติมาก นั่นแหละครับ ไทยเราก็มี (แค่ดูภาพ header ก็คงรู้กันแล้วสินะ - -") กริฟฟินพันธุ์ไทยแท้ของเรามีชื่ออันสุดแสนจะไพเราะว่า "ไกรสรปักษา" ครับ (ไกรสร = สิงโต + ปักษา = นก) อย่าไปจำสับสนกับสกุณไกรสรนะครับ (สกุณา = นก + ไกรสร = สิงโต) ถึงมันจะเป็นนกกับสิงโตเหมือนกัน แต่มันก็หน้าตาไม่เหมือนกัน ดังรูป

ภาพทางซ้ายคือไกรสรปักษาส่วนทางขวาคือสกุณไกรสรครับ click เพื่อดูภาพใหญ่ โดยไกรสรปักษาของไทยเรานั้นจะมีลักษณะเด่นแตกต่างไปจากกริฟฟินของต่างชาติคือมีกายสีเขียวอ่อน มีเกล็ดปกคลุมกาย และไม่มีใบหูนะครับ แต่ไม่มีระบุไว้ว่าตัวผู้ไม่มีปีก ก็คงจะมีปีกทั้งสองเพศ ส่วนสกุณไกรสรนั้นไม่มีเกล็ด และไม่มีปีกครับ

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มังกร

   มังกร (อังกฤษ dragon) เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดีของจีนและตะวันตก แม้จะใช้คำว่ามังกร (dragon) เหมือนกัน แต่มังกรของจีนและตะวันตกนั้นสื่อถึงสัตว์ต่างชนิดกัน มังกรของจีนมีรูปร่างลักษณะจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู ไม่มีปีก แต่สามารถบินไปในอากาศได้ ส่วนมังกรของตะวันตกจะมีขา มีปีกและสามารถพ่นไฟได้

ในตำนานยุโรป มังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ มังกรจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของ
เหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์. มังกรจึงกลาย
เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริง ๆ และในตำนานต่าง ๆ เช่น กษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมี
นามสกุลว่า Pendragon มีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' และมงกุฎของกษัตริย์
อาเธอร์ ก็เป็นรูปมังกร ส่วนในตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลและมีสถานะเป็นเทพเจ้า เสื้อคลุมมังกร 5 
เล็บเป็นเครื่องทรงของที่กษัตริย์สามารถใช้ได้เท่านั้น ส่วนเครื่องทรงที่มีรูปมังกร 4 เล็บ
จะเป็นชุดสำหรับขุนนาง และ 3 เล็บสำหรับประชาชนทั่วไป
เราพบมังกรได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในตำนานของทางยุโรปหรือเอเชียก็ตาม เรียกว่า
ที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่นั่นก็ต้องมีมังกรเป็นของคู่กัน. มังกรนั้นมีรูปร่างและลักษณะหลาย อย่าง
 แตกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีจุดเด่นคือ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ 
ร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังมาก บางครั้งอาจพ่นไฟได้ หรือมีอำนาจเวทมนตร์มหาศาล และที่สำคัญคือ
 บินได้ (อาจจะมีปีกหรือไม่มีก็ได้) โดยขนาดรูปร่างและสีนั้น ก็แตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม มังกรที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกันในแง่สัญลักษณ์ 
โดยเฉพาะคติของจีนที่มักจะถือว่า มังกรนั้นคือเทพเจ้า และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล รวมถึงเป็นสัญลักษณ์
ของจักรพรรดิ (ซึ่งเป็นสมมติเทพ) แต่ทางยุโรปนั้นมักจะถือมังกรเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย